“สุดาวรรณ” แถลงความพร้อมใช้วิจัยและนวัตกรรม รับมือภัยภิบัติ พร้อมชูโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด”
“สุดาวรรณ” แถลงความพร้อมใช้วิจัยและนวัตกรรม รับมือภัยภิบัติ พร้อมชูโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” หนุนเตรียมระบบเตือนภัย แผนป้องกันรับมือน้ำท่วมในอนาคต
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่เสี่ยงภัย สนับสนุนข้อมูลและงานวิจัยที่เป็นประโยชน์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ ได้แก่ 1.การพัฒนาแนวทางปฏิบัติตามแผน SOP (Standard Operating Procedure) ด้วยระบบสนับสนุนการเตือนภัยน้ำท่วม ผ่านเครื่องมือ Flood Map, Flood Pole และ Flood Mark ซึ่งสามารถสนับสนุนชุดข้อมูลเตือนภัย และเฝ้าระวัง และได้มีการกำหนดมาตรารองรับสถานการณ์น้ำท่วมที่คาดการณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.การจัดทำฐานข้อมูลติดตามสถานการณ์ระดับน้ำรายชั่วโมงและแจ้งผ่านระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม ในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย 3.การจัดทำสรุปสถานการณ์พายุวิภาและดำเนินการจำลองสภาพน้ำท่วมในสถานการณ์ต่างๆ จากการคาดการณ์สภาพอากาศ และ 4.การจำลองแนวโน้มดินถล่มของประเทศ ด้วยรูปแบบการจัดการภัยโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กระทรวง อว. โดย วช. ได้นำแผนงานวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำมาดำเนินโครงการสำคัญอย่าง “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบเตือนภัยและเตรียมแผนป้องกันรับมือภาวะน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งถือเป็นการนำองค์ความรู้และชุดข้อมูลจากงานวิจัยมาบูรณาการการทำงานกับองค์กรวิจัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจากสถานการณ์น้ำ
“กระทรวง อว. พร้อมด้วยสรรพกำลังและทีมหลังบ้านที่เข้มแข็งพร้อมดำเนินการตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. โดยนำเอาผลงานวิจัยและนวัตกรรม ระบบติดตามและเตือนภัยในระดับพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของทีมจังหวัด พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาการพยากรณ์ล่วงหน้าให้มีความแม่นยำและสามารถระบุความเสี่ยงในระดับพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมความพร้อม แจ้งเตือน ดูแลประชาชน ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต เราจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญให้กับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมรับมือกับภัยพิบัติด้วยองค์ความรู้และข้อมูลทางวิชาการ เราจะเปลี่ยน “ข้อมูลวิจัย” เป็น “ข้อมูลช่วยชีวิต” ที่แม่นยำ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที” รมว.อว. กล่าว
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวถึงประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ “วิภา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศไทยเผชิญฝนตกหนักถึงหนักมาก ระหว่างวันที่ 20–24 กรกฎาคม 2568 และเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง แม้พายุจะเริ่มอ่อนกำลังลง แต่หลายพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง วช. แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมขับเคลื่อนผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ วช. ได้สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อการเตรียมความพร้อมรับมือพายุวิภาในทุกมิติ รวมถึงประเมินความเสี่ยงระดับพื้นที่และถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ โดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายวิจัยทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งนี้ วช. มุ่งหวังให้การประยุกต์ใช้งานวิจัยในพื้นที่จริงเป็นบทเรียนสำคัญในการยกระดับองค์ความรู้ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
นอกจากนี้ อว. ยังได้ส่งมอบนวัตกรรมช่วยบรรเทาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่
- เทคโนโลยีโดรน มอบให้แก่ ศูนย์การจัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ตำบลเจดีย์ชัย อำกอปัว จังหวัดน่าน เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ ส่งอาหารและเวชภัณฑ์ให้ผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ใช้บินสำรวจเส้นทาง ไหลของน้ำ และสำรวจหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในพื้นที่
- SANSO KUN (ซังโซะคุง) นวัตกรรมออกซิเจนความเข้มข้นสูงอัดกระป๋อง มอบให้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้สามารถพกพาและ
ใช้สำหรับช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางที่เดินทางไปโรงพยาบาลลำบาก
- Agent29: คอปเปอร์นาโนรูปเข็ม มอบให้แก่ นายอำเภอเวียงสา และ นายอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เพื่อการป้องกันเชื้อราในอาคาร พรม ไม้ ผนังปูน หลังสถานการณ์น้ำลด ช่วยให้การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชนกลับมาเป็นปกติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- ผลิตภัณฑ์เคลียร์ซอยด์ เคลียร์ซอยด์ มอบให้แก่ เครือข่ายหมอดินอาสา ตำบลเวียงสา อำเภอเวียงสา จังหวัดหวัดน่าน และเครือข่ายหมอดินอาสา บำนน้ำครกใหม่ ตำบลกอกองควาย อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปริมาณโลหะหนักในดินหลังน้ำท่วม ได้แก่ สารหนู (As) แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb) ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้มักถูกพัดพามากับตะกอนดิน และสะสมในแปลงปลูกพืช การใช้ผลิตภัณฑ์เคลียร์ซอยด์จะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้าง ได้ภายใน 1 เดือน
- ถุงยังชีพและที่นอนยางพารา มอบให้แก่ อว. ส่วนหน้าเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ
ภายในงาน ยังมีการเสวนา เรื่อง “การรับมือภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ “พายุวิภา” ในมุมวิจัยและนวัตกรรม” ซึ่งดำเนินรายการเสวนา โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน (Program Director) แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. วช. และผู้ร่วมเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
เรื่อง : พร้อมหรือยัง? กับการทำนายพายุหลัง "วิภา" โดย นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา
เรื่อง : ระบบเตือนภัยที่เราเตรียมไว้ใช้ได้ผลหรือไม่? บทเรียนที่ได้ โดย รองศาสตราจารย์ ชูโชค อายุพงศ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรื่อง : สถานการณ์น้ำฝน และน้ำท่า ระบบเตือนภัยช่วยอย่างไร? โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อังกูร ว่องตระกูล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
เรื่อง : การประเมินความเสียหายและเตรียมพร้อมสำหรับพายุลูกต่อไปได้อย่างไร? โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ และ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.วินัย แก้วละมุล จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรื่อง : ภาวะฝนแบบนี้ จะมีดินถล่มหรือไม่ จะเตือนภัยอย่างไร? โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เรื่อง : คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติช่วยการเตือนภัยได้อย่างไร? โดย ดร.ศรเทพ วรรณรัตน์ จากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
ทั้งนี้ การแถลงข่าวและเสวนาการรับมือภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ "พายุวิภา" ในมุมวิจัย และนวัตกรรมในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำการรับมือภัยพิบัติในยุคปัจจุบันต้องอาศัยความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และให้ความสำคัญกับการนำผลงานวิจัยมาใช้จริงเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
No comments